แผลเบาหวานป้องกันได้ด้วยคลอโรฟิลล์
แผลเบาหวานป้องกันได้ด้วยคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100%
แผลเบาหวาน
แผลเบาหวานเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบมากที่สุดในผู้ป่วยที่ต้องควบคุมอาการของโรคเบาหวานได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการชา
หรือไร้ความรู้สึกบริเวณปลายมือและเท้า
จึงเป็นเหตุให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและเกิดแผลมากขึ้น
และเมื่อเกิดแผลเลือดก็จะไหลเวียนบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ
เนื่องจากหลอดเลือดทำงานผิดปกติด้วยเช่นกัน
จึงทำให้แผลหายช้าหรือกลายเป็นแผลเรื้อรังเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะพบแผลเหล่านี้ที่บริเวณนิ้วโป้ง และเนินปลายเท้า ซึ่งหากไม่รักษาอย่างทันท่วงทีและถูกต้องอาจนำไปสู่การตัดอวัยวะเนื่องจากการติดเชื้อได้ในที่สุด
อาการแผลเบาหวาน
ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยโรคเบาหวานจะไม่รู้ว่าตัวเองเกิดแผลเบาหวานขึ้น
โดยเฉพาะแผลที่เท้า ซึ่งสัญญาณแรกๆ ของการเกิดแผลเบาหวานคือ
อาจมีน้ำหนองไหลออกมามากผิดปกติ อวัยวะที่เกิดแผลมีอาการบวมแดงผิดปกติ
และรู้สึกเจ็บหรือระคายเคือง และอาจมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
ทั้งนี้ หากระบบเลือดไหลเวียนไปที่แผลไม่ดีเท่าที่ควรอาจทำให้เกิดภาวะเนื้อตาย ซึ่งสังเกตเห็นได้จากผิวหนังที่เปลี่ยนสีกลายเป็นสีดำบริเวณรอบๆ
แผล โดยมักจะเกิดขึ้นที่นิ้วเท้าเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะนำมาสู่การติดเชื้อ
และทำให้มีหนองซึ่งมีกลิ่นเหม็นไหลออกมาจากแผล เกิดอาการชา
หรือเจ็บบริเวณแผลได้ในที่สุด โดยแผลเบาหวานนั้น
แบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ คือ
§ ระดับ 0 ไม่มีอาการของแผลเปื่อย
§ ระดับ 1 มีแผลเกิดขึ้นแต่ไม่มีอาการอักเสบ
§ ระดับ 2 แผลลึกจนเห็นเส้นเอ็นและกระดูก
§ ระดับ 3 แผลมีการลุกลามในบริเวณกว้าง
และมีฝีเกิดขึ้น
ทว่าในผู้ป่วยบางรายก็อาจไม่มีความผิดปกติใดๆ
เกิดขึ้นกับแผลจนกระทั่งแผลเกิดการอักเสบ
ดังนั้นผู้ป่วยอาจต้องทำการสังเกตความผิดปกติของเท้า ว่ามีอาการบวมแดง หรือมีแผลใดๆ
เกิดขึ้นหรือไม่ หากมีแผลก็ควรสังเกตว่าบริเวณแผลนั้นมีสีคล้ำลง และมีอาการเจ็บบริเวณแผลหรือไม่
หากพบควรรีบไปแพทย์โดยด่วนเพื่อลดความเสี่ยงการเน่าของเนื้อและผิวหนังบริเวณดังกล่าว
สาเหตุของแผลเบาหวาน
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและหลอดเลือดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดแผลเบาหวาน
เพราะเมื่อผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีเพียงพอ น้ำตาลในเลือดจะไปทำให้หลอดเลือดและระบบประสาทผิดปกติ
ก่อให้เกิดภาวะเส้นประสาทเสื่อม นำมาสู่อาการชาหรือไร้ความรู้สึกที่บริเวณเท้าได้
เมื่อสูญเสียความรู้สึกบริเวณเท้าแล้วจะทำให้ผู้ป่วยแทบไม่รู้ตัวหากเกิดรองเท้ากัด รอยบาด หรืออุบัติเหตุที่เท้า ยิ่งไปกว่านั้นความเสียหายของหลอดเลือดจะทำให้เลือดไหลเวียนไปยังหลอดเลือดส่วนปลายได้ไม่ดีนัก
ก่อให้เกิดภาวะขาดเลือดเฉพาะที่ (Ischaemia) และแผลที่เกิดขึ้นจะมีเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ
ทำให้แผลหายช้าและกลายเป็นแผลเรื้อรังในที่สุด
ทั้งนี้ผู้ป่วยเบาหวานที่เข้าข่ายเสี่ยงต่อการเกิดแผลเบาหวานมากที่สุดนอกเหนือจากผู้ที่ควบคุมอาการเบาหวานได้ไม่ดี
มักมีลักษณะอาการดังนี้
§ มีอาการของโรคเส้นประสาท (Neuropathy)
§ ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี
§ มักสวมใส่รองเท้าที่ไม่สบายเท้า
§ ติดนิสัยเดินเท้าเปล่า
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ
ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลเบาหวานได้ คือ การสูบบุหรี่ การไม่ออกกำลังกาย
น้ำหนักตัวเกิน ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง ซึ่งหากมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้
ควรระมัดระวังในการเดิน หรือการสวมใส่รองเท้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลเบาหวานโดยไม่รู้ตัว
ประโยชน์ของอัลฟัลฟาช่วยอะไรบ้าง
1. อัลฟัลฟาอุดมไปด้วยธาตุฟลูออไรด์และแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟันได้เป็นอย่างดี
2. ช่วยบำรุงเส้นผม ลดอาการผมร่วง ทำให้ผมหงอกกลับดำขึ้น
3. ช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคต้อกระจกมองเห็นได้ดีขึ้น
4. ช่วยลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ
5. ช่วยลดระดับน้ำตาลและปรับระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน
6. ในสหรัฐอเมริกาแนะนำให้ใช้อัลฟัลฟาช่วยในการรักษาภาวะโลหิตจาง
7. ช่วยสนับสนุนการจับตัวของเลือด
8. ช่วยกำจัดของเสีย ขับสารพิษออกจากร่างกาย ขับสารพิษออกจากเลือดและอวัยวะภายใน ลดการตกค้างของของเสียตามผิวหนัง ช่วยให้เลือดสะอาดและไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลทำให้ผิวพรรณผ่องใสและสุขภาพที่ดีตามมา มันจึงมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ชอบรับประทานเนื้อสัตว์
9. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเมล็ดเลือดแดง ทำให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น
10. สารซาโปนินจะช่วยลดการอุดตันของเกล็ดเลือดในเส้นเลือดฝอย ช่วยลดอัตราของการเกิดความจำเสื่อม และภาวะไขมันในเลือดสูงได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
11. ช่วยส่งเสริมการดูดซึมของโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตของร่างกาย
12. อัลฟัลฟามีส่วนช่วยฟื้นฟู บรรเทาอาการของผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะติดสารเสพติด และติดแอลกอฮอล์
13. ช่วยทำให้ผู้ที่เป็นภูมิแพ้มีอาการที่ดีขึ้น
14.วิตามินเคจากอัลฟัลฟา จะช่วยป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนได้
15.จากการศึกษาพบว่าสารซาโปนินและสารประกอบอื่นในอัลฟัลฟามีความสามารถในการยึดติดในคอเลสเตอรอลกับเกลือน้ำดี ช่วยป้องกันและชะลอการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหาร จึงช่วยทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำ ช่วยป้องกันการสะสมไขมันในหลอดเลือด และช่วยควบคุมระดับความเข้มข้นของคอเลสเตอรอลให้เป็นปกติ โดยในการศึกษาจากผู้ป่วยจำนวน 15 คน ที่ให้อัลฟัลฟ่าในขนาด 40 กรัม วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 8 วัน พบว่าผู้ป่วยมีระดับคอเลสเตอรอลรวมและไขมันเลว (LDL) ลดลงประมาณ 17-18% ในขณะที่บางส่วนสามารถลดได้ถึง 26-30%
16. อัลฟัลฟามีไฟเบอร์จากธรรมชาติอยู่สูงมาก และยังมีประโยชน์ในการช่วยฟื้นฟูภาวะลำไส้อ่อนแอ ช่วยในการลำเลียงของเสียออกจากระบบได้เป็นอย่างดี จึงทำให้หลอดลำไส้มีสุขภาพที่ดี
17.ช่วยแก้อาการเบื่ออาหารและอาการดูดซึมอาหารได้ไม่ดี
18.แพทย์ชาวจีนได้มีการนำใบอัลฟัลฟาอ่อนเพื่อใช้ในการรักษาอาการย่อยไม่เป็นปกติ เช่นเดียวกับแพทย์ชาวอินเดียที่ใช้ใบและดอกในการรักษากระบวนการย่อยที่ทำงานได้น้อย (ใบ, ดอก)
19. มีแพทย์จำนวนมากที่ใช้อัลฟัลฟาเพื่อรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร เช่น การมีแก๊สในกระเพาะอาหารมาก มีอาการจุดเสียดเป็นประจำ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร เป็นโรคเบื่ออาหาร เป็นต้น และอัลฟัลฟายังมีเอนไซม์ที่ช่วยทำให้การดูดซึมอาหารภายในร่างกายเป็นปกติ มีสารที่ช่วยเคลือบผิวของกระเพาะอาหารให้มีความแข็งแรง และยังพบว่าอัลฟัลฟาสามารถช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร อาการปวดท้องเนื่องจากมีแก๊สมาก รักษาแผลในกระเพาะลำไส้ได้เป็นอย่างดี
20.อัลฟัลฟามีคุณสมบัติที่ช่วยในการขับถ่ายและการปัสสาวะให้เป็นปกติ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก บรรเทาอาการของริดสีดวงทวาร
21.อัลฟัลฟายังถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ในกระเพาะปัสสาวะ ไต และต่อมลูกหมากที่ทำงานผิดปกติ
22.อัลฟัลฟางอกเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูง ช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะหมดประจำเดือนของสตรี (อัลฟัลฟางอก)
ที่มา https://www.pobpad.com
ขอเอาข้อมูลไปทำเว็บได้ไหมครับ สมาชิกแม่ฝนครับ
ตอบลบ